เอกสารศุลกากรไทย VS จีน ฝั่งไหนสำคัญกว่ากัน?
การนำเข้าสินค้าจากจีนมาถึงไทย สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ “เอกสารศุลกากร” ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขหลักสำคัญที่กำหนดว่าสินค้าจะสามารถเคลื่อนย้ายจากประเทศต้นทางไปถึงมือผู้ซื้อได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ในหลายๆ ธุรกิจอาจสงสัยว่า “เอกสารฝั่งจีนหรือฝั่งไทยสำคัญกว่ากัน” คำตอบคือ ทั้งสองมีบทบาทเฉพาะที่ต่างกัน แต่หากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การนำเข้าสินค้าอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลัง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว ว่าควรให้ความสำคัญกับฝั่งไทยหรือจีนมากกว่ากัน
สารบัญ
ทำไมต้องมีเอกสารทั้งสองฝั่ง?
เอกสารศุลกากรฝั่งจีนที่ควรรู้
เอกสารศุลการฝั่งไทยที่เลี่ยงไม่ได้
เอกสารจากฝั่งไทย-จีน ควรให้ความสำคัญฝั่งไหน?
บทสรุป
Booking Ship / Air in Bangkok ?
Contact us for your chance.

ทำไมต้องมีเอกสารศุลกากรทั้งสองฝั่ง?
ในทุกการค้าระหว่างประเทศมี “ด่านควบคุมสินค้า” ทั้งต้นทางและปลายทาง การจัดการเอกสารศุลกากรจึงไม่ใช่แค่ข้อบังคับตามกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้สินค้าผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตให้ออกจากประเทศต้นทางและเข้าสู่ประเทศปลายทางได้อย่างถูกต้อง หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ให้คำแนะนำที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายแฝงที่สูงกว่าต้นทุนการขนส่งได้มากกว่า 20% เลยทีเดียว
-
เอกสารศุลกากรฝั่งจีน ใช้ทำอะไร?
โรงงานหรือผู้ส่งออกต้องแสดงเอกสารที่ถูกต้อง เช่น เอกสารรับรองมาตรฐานโรงงาน / เอกสารรับรองการผลิต / เอกสารการเป็นตัวแทนส่งออก-นำเข้า เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าสามารถส่งออกได้ตามระเบียบ เช่น Export License / ใบรายการสินค้า / ใบระบุราคาสินค้าพร้อมอัตราภาษี หากขั้นตอนนี้เกิดความผิดพลาด สินค้าอาจไม่สามารถขนส่งข้ามพรมแดนได้อย่างราบรื่น และอาจทำให้ธุรกิจของคุณสูญเสียเวลาที่ต้องมาแก้ปัญหาในจุดนี้
-
เอกสารศุลกากรฝั่งไทย เหมือนกับฝั่งจีนไหม?
เมื่อสินค้าที่ส่งออกมาจากประเทศต้นทาง มาถึงด่านปลายทางในประเทศไทย หน่วยงานศุลกากรจะตรวจสอบเอกสาร เช่น ใบขนสินค้า, Invoice, Packing List, รวมถึงใบอนุญาตพิเศษ (อย. หรือ มอก.) หากเป็นสินค้าที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีพิกัดที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ต้องมีใบอนุญาตควบคุมสินค้า เพื่อยืนยันว่าสินค้าได้รับการอนุญาตให้มีการขนส่งนำเข้ามาภายใต้ระบบการขนส่งอย่างถูกต้อง จึงเปรียบเสมือนกันกับด่านศุลกากรในประเทศจีน ที่จำเป็นจะต้องคัดและตรวจสอบสินค้าในทุกๆ รายการ ก่อนนำเข้าหรือส่งออก เพียงแต่เอกสารบางอย่างอาจไม่เหมือนกันในบางกรณี ตามแต่ละประเทศนั้นๆ

เอกสารศุลกากรฝั่งจีนที่ต้องรู้
ก่อนที่สินค้าทุกประเภทจะออกจากประเทศจีน ผู้ส่งออกจำเป็นต้องจัดเตรียมเอกสารสำคัญหลายรายการเพื่อผ่านด่านศุลกากรให้ได้อย่างถูกต้อง
เอกสารที่พบบ่อย ได้แก่ :
-
Export License (ใบอนุญาตส่งออก)
เอกสารยืนยันสิทธิ์ในการส่งออกจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย ซึ่งจำเป็นสำหรับสินค้าในกลุ่มควบคุมหรืออาจมีการควบคุมสินค้านั้นๆ ในประเทศปลายทาง จึงจำเป็นจะต้องตรวจเช็คกับผู้ผลิตทุกครั้งก่อนสั่งซื้อ ว่ามีใบอนุญาตการส่งออกที่ถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ เพื่อลดปัญหาที่จะตามมาหลังสินค้าเข้าสู่ประเทศเรียบร้อย
-
Commercial Invoice (ใบกำกับสินค้า)
ใช้ระบุรายละเอียดการซื้อขาย มูลค่า และข้อมูลผู้ซื้อผู้ขาย เพื่อประกอบการคำนวณภาษี โดยในเอกสาร มักประกอบไปด้วย ชื่อบริษัทผู้ผลิต / ชื่อผู้สั่งซื้อ / จำนวนโดยประมาณ / ราคาสินค้าแต่ละประเภท / เงื่อนไขการซื้อ-ขาย ที่ตกลงกันไว้ และเงื่อนไขการขนส่ง
-
Packing List (ใบรายการบรรจุ)
เป็นใบรายการที่สำคัญรองลงมาจากใบอนุญาตการส่งออก เพราะจำเป็นจะต้องแสดงจำนวน / ชนิด และขนาดของสินค้า ช่วยให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบได้ตรงกับพัสดุจริงภายในตู้คอนเทนเนอร์ หากมีสิ่งอื่นแปลกปลอมนอกเหนือจากในใบรายการสินค้า อาจทำให้เกิดการ แสดงข้อมูลเท็จต่อเจ้าหน้าที่ และมีความผิดได้
-
Form E (หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า)
เอกสารที่ช่วยให้ผู้นำเข้าในไทยสามารถใช้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน โดยสามารถใช้ลดหย่อยอากรที่ระบุของสินค้านั้นๆ ตามพิกัดที่ทางศุลกากรไทยได้เป็นผู้พิจารณาในการตรวจสอบ และยังสามารถลดลงได้ถึง 0% ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าภาษีอากรขาเข้านั่นเอง แต่ยังคงจำเป็นในการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

เอกสารศุลกากรฝั่งไทยที่เลี่ยงไม่ได้
เมื่อทำการสินค้าส่งออกจากจีนได้เรียบร้อย ด่านที่ยากกว่าและเข้มงวดกว่ามักเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะศุลกากรไทยทำหน้าที่ทั้งตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างครบถ้วน ในการนำเข้าสินค้าจะมีกฏระเบียบที่เคร่งครัดมากกว่าการส่งออกบางส่วน จึงควรทำการศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลด้านเอกสารในแต่ละแบบของสินค้าเอาไว้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการนำเข้าในอนาคต
เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในฝั่งไทย ได้แก่
- ใบขนสินค้า : เพื่อประกอบการนำเข้าสินค้าอย่างถูกต้องในระบบศุลกากรระหว่างประเทศ
- Commercial Invoice : ใบแสดงราคาเพื่อคำนวณอากรสินค้าให้ตรงกันกับใบขนสินค้า
- Packing List : ใบรายการสินค้าที่แสดงจำนวนที่ถูกต้อง ไม่ให้มีขาดหรือเกินจากเอกสารที่กำหนดไว้
- Bill of Lading (B/L) : เอกสารสำคัญในการขนส่งทางเรือ ที่จำเป็นจะต้องแสดงถึงแหล่งที่มาในการส่งออก ว่ามาจากท่าเรือใดในประเทศต้นทาง และมายังประเทศปลายทางอย่างไร มีสินค้าอะไรบ้างที่ขนส่งบรรทุกเข้ามา
- ใบอนุญาตพิเศษ เช่น ใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือใบอนุญาต อย. สำหรับสินค้าอาหารและยา หากขาดเอกสารใดเอกสารหนึ่ง ศุลกากรไทยมีสิทธิ์กักสินค้าไว้จนกว่าผู้นำเข้าจะดำเนินการแก้ไขครบถ้วน
ดังนั้น แม้ว่าเอกสารจากทางฝั่งจีนจะจัดเตรียมเอกสารได้ถูกต้องแล้ว แต่กลับกันเมื่อฝั่งศุลกากรไทยตรวจพบความไม่สมบูรณ์ การนำเข้าก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าเพิ่มเติม

เอกสารฝั่งไทยและจีน ควรให้ความสำคัญฝั่งไหน?
คำถามที่ผู้ประกอบการหลายคนสงสัยคือ “เอกสารศุลกากรฝั่งจีนหรือฝั่งไทย มีน้ำหนักมากกว่ากัน?” หากพิจารณาให้ลึก ทั้งสองฝั่งต่างมีความสำคัญที่แตกต่างแต่ยังคงจำเป็นทั้งสองฝั่งอย่างเท่ากัน
-
เอกสารจากฝั่งจีน
เปรียบเสมือน “จุดเริ่มต้น” ของการค้า หากผู้ส่งออกไม่มีใบอนุญาตหรือออกเอกสารผิดพลาดไม่ตรงกับรายการสินค้าที่ทำการสั่งซื้อเอาไว้ ทำให้อาจไม่สามารถผ่านด่านต้นทางและขึ้นเรือได้เลย ปัญหามักเกิดขึ้นกับโรงงานที่ไม่ชำนาญด้านเอกสารหรือพยายามลดต้นทุนโดยละเลยขั้นตอนที่ถูกต้อง ดังนั้นการค้นหาผู้ผลิตที่ได้คุณภาพจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ อันดับแรก ก่อนการตัดสินใจซื้อ-ขาย ควรสอบถามและขอข้อมูลให้มากที่สุดก่อนสิ่งอื่นใด
-
ตัวอย่างเอกสารฝั่งจีน :
-
Commercial Invoice (CI) – ใบกำกับสินค้า
-
Packing List (PL) – รายการบรรจุ
-
Export License – ใบอนุญาตส่งออก (ในกรณีที่สินค้าจัดเป็นกลุ่มควบคุม)
-
-
สินค้าที่ต้องใช้สิทธิพิเศษทางภาษี:
-
Form E – หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อใช้สิทธิ์ลดภาษีนำเข้าในไทย
- Certificated License – เอกสารรับรองมาตรฐานสินค้าต่างๆ หากเป็นสินค้าควบคุม เช่น ISO , MDSD, CA ฯลฯ
-
-
เอกสารจากฝั่งไทย
คือ “ด่านตัดสินสุดท้าย” ต่อให้สินค้าถูกส่งออกมาได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน หากศุลกากรไทยพบความคลาดเคลื่อน เช่น มูลค่าไม่ตรงกับ Invoice หรือขาดใบอนุญาตเฉพาะสินค้าควบคุม หรือการระบุพิกัดที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิมแม้เพียง 1 ตัวเลข จะทำให้สินค้าก็จะถูกกักกันและอายัติทันที และผู้นำเข้าต้องเสียค่าปรับหรือค่าภาระเพิ่มเติมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการนำเข้าอย่างถูกวิธี
-
ตัวอย่างเอกสารฝั่งไทย
-
สินค้าทั่วไป:
-
ใบขนสินค้า (Import Declaration)
-
Commercial Invoice / Packing List
-
-
สินค้าที่ต้องมีมาตรฐานหรือใบอนุญาตพิเศษ:
-
มอก. (TISI Certificate) – สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ของเล่น ฯลฯ
-
อย. (FDA Certificate) – สำหรับอาหาร ยา และเครื่องสำอาง สำหรับสินค้าที่เป็นสารเคมี จำเป็นจะต้องยื่นเรื่องขอ Special Import Permit จาก อย. เพื่อยื่นต่อด่านศุลกากรไทยล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงควรศึกษาเกี่ยวกับระยะเวลาในการดำเนินเอกสารให้ดีก่อนตัดสินใจขนส่งสินค้าประเภทนี้
-
เอกสารรับรองคุณภาพหรือความปลอดภัยจากโรงงานต้นทาง – ใช้ประกอบการขออนุญาตในไทย
-
-
คำตอบไม่ใช่การเลือกข้างว่าฝั่งใดเอกสารถึงสำคัญกว่า แต่คือการมองว่า
ทั้งสองฝั่งเป็นดั่งเส้นทางที่ต้องเปิดทั้งสองฝั่งไปพร้อมๆ กัน
หากทางใดทางหนึ่งไม่เปิด สินค้าก็ไม่สามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นและพบปัญหาตามมาแน่นอน